>>>>>มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษมเปิดรับสมัครนักศึกษาภาคานอกราชการ
............................................>>>>>>>>><<<<<<<<<<<.......................................................
ความเป็นมาของบ้านเชียง
บ้านเชียง เป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
ซึ่งค้นพบว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยและที่ฝั่งศพของคนก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะเมื่อราว 5,000กว่าปีมาแล้วมีความเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีสูงมาแต่โบราณ ชาวบ้านเชียงโบราณเป็นชุมชนยุคโลหะที่รู้จักทำการเกษตรกรรม
เลี้ยงสัตว์ นิยมทำเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับจาก
สำริด ในระยะแรกและรู้จักใช้เหล็ก ในระยะต่อมา แต่ก็ยังคงใช้สำริดควบคู่กันไป ชาวบ้านเชียงโบราณรู้จักทำเครื่องปั้นดินเผาภาชนะสีเทา ทำเป็นลายขูดขีด ลายเชือกทาบและขัดมันรู้จักทำภาชนะดินเผาลายเขียนสี รูปทรงและลวดลายต่าง ๆและชาวบ้านเชียงโบราณยังรู้จักทำเครื่องจักสานทอผ้ามีประเพณีการฝังศพ ฝังสิ่งของ เครื่องใช้อาหารรวมกับศพเป็นการอุทิศให้กับผู้ตาย สิ่งของที่เป็นโบราณวัตถุซึ่งได้จากการสำรวจรวบรวมและขุดค้นที่บ้านเชียงรวมแหล่งใกล้เคียง เช่น ขวาน ใบหอก มีด ภาชนะดินเผาทั้งที่เขียนสีและไม่เขียนสี และ ดินเผาลูกกลิ้งดินเผา แม่พิมพ์หินใช้หล่อเครื่องมือสำริด ทำจากหินทรายเบ้าดินเผา รูปสัตว์ดินเผา ลูกปัดทำจากหินสีและแก้วกำไล และแหวนสำริดลูกกระสุนดินเผา ขวานหินขัดและได้พบเศษผ้าที่ติดอยู่กับเครื่องมือสำริด แกลบข้าวที่ติดอยู่กับเครื่องมือเหล็ก
ชุมชนบ้านเชียงในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นชุมชนเกษตรกรรมยุคโลหะ มีความเจริญก้าวหน้ามานานแล้ว สามารถแบ่งลำดับขั้นวัฒนธรรมสังคมเกษตรกรรมที่บ้าน เชียงออกเป็น 6 สมัย โดยกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์วิธีคาร์บอน 14ว่าวัฒนธรรมสมัยที่ 1หรือชั้นดินล่างสุดของบ้านเชียงมีอายุประมาณ 5,600 ปีมาแล้ว คนก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงในระยะแรกได้เลือกตั้งถิ่นฐานในบริเวณป่าที่ถูกถากถาง มีการ เลี้ยงสัตว์และล่าสัตว์ด้วย พอถึงสมัยที่ 4 เมื่อราว 3,600 ปีมาแล้วรู้จักใช้เครื่องมือ เหล็ก เลี้ยงควาย เพื่อช่วยในการทำนา ในสมัยที่ 5 เมื่อราว 3,000 ปีมาแล้ว มีการ ทำภาชนะดินเผาลายเขียนสีลงลายและรูปทรงหลายแบบพอถึงสมัยที่ 6 จึงทำแต่ภาชนะดินเผาเคลือบสีแดงหรือเขียนสีบนพื้นสีแดง ทำเครื่องประดับที่มีส่วนผสมของโลหะ ที่มีความวาวมากขึ้น กำหนดอายุได้ราว 1,700 ปีมาแล้ว
จากการค้นพบ แกลบข้าวที่ติดอยู่กับเครื่องมือเหล็ก การค้นพบเครื่องมือสำริด
แม่พิมพ์เครื่องมือสำริด เบ้าดินเผาทำให้สามารถกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมบ้านเชียงมีความเจริญก้าวหน้าสูงรู้จักการใช้โลหะกรรมหล่อหลอมสำริด และปลูกข้าวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไม่น้อยกว่า 5,000ปีมาแล้ว และมีความเจริญทางวัฒนธรรมสูงกว่าบริเวณอื่น ๆของประเทศไทย
ภายหลังจากที่กรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงแล้ว สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
(พระเจ้าอู่ทอง)ได้ ผนวกอาณาจักรสุโขทัยเข้ารวมกับอาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ.1981
และในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนี่เอง ไทยเราต้องทำศึกสงครามกับพม่ามาโดยตลอด
ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเรื่อยมา และเสียกรุงศรีอยุธยา 2 ครั้ง คือ ใน พ.ศ. 2112 และ
พ.ศ. 2310 แต่ถึงแม้เพลี่ยงพล้ำให้แก่พม่าข้าศึก
แต่ไทยเราก็ยังมีวีรกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงสามารถกอบกู้เอกราชของชาติไทยให้กลับคืนมาได้คือ
สมเด็จ พระนเรศวรมหาราชที่ทรงประกาศอิสรภาพใน พ.ศ. 2127
และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชใน พ.ศ. 2310
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง อุดรธานี
ตั้งอยู่ที่บ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ทางด้านขวาของทางเข้า อยู่ในบริเวณวัดโพธิ์ศรีใน
เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดที่เป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย เป็นนิทรรศการถาวร
ซึ่งแสดงขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยังคงลักษณะของศิลปวัตถุที่พบตามชั้นดิน
เพื่อให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาถึงการขุดค้นทางโบราณคดีและโบราณวัตถุ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาชนะเผาที่ฝังรวมกับศพ
ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของทางเข้า
เป็นอาคารที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวและวัฒนธรรมของบ้านเชียงในอดีตตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ที่แสดงถึงเทคโนโลยีในสมัยโบราณ
รวมทั้งโบราณวัตถุและนิทรรศการบ้านเชียงที่เคยจัดแสดง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนั้น ภายในบริเวณอาคารส่วนที่ 2 ยังมีห้องนิทรรศการ ห้องบรรยาย
ฉายภาพยนตร์ ภาพนิ่ง และการให้บริการการศึกษาต่างๆ การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงนั้นสะดวกมาก
เนื่องจากอยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 55 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 22 (อุดรธานี-สกลนคร) ตรงกิโลเมตรที่ 50 ก็จะถึงปากทางเข้าบ้านปูลู
จะเห็นป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์ทางด้านซ้ายมือ เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2225 อีกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะถึงพิพิธภัณฑ์
ซึ่งเปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. ค่าเข้าชมชาวไทยคนละ 10 บาท ชาวต่างประเทศ คนละ 30 บาท
การเดินทาง ไป พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง อุดรธานี
มรดกโลก
แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี
พ.ศ. 2535 ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 16 ที่เมืองแซนตาเฟ
ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผ่านข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก
ดังนี
-
เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่ สาบสูญไปแล้ว ด้านในของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง



.jpg)





















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น